ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ความเชื่อเกี่ยวกับการแก้ชง ฉบับ ธาราญา !!


 

ภายในช่วงเวลาขึ้นปีใหม่ของจีนนอกจากงานฉลองในช่วงเวลาขึ้นปีใหม่ อีกสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านานคือ ปีชง หรือปีที่ดวงชะตาของคนเราไม่มงคลแก่ดวงชะตาของเราเอง ก่อให้เกิดเป็นธรรมเนียมการ แก้ชง ที่ต้องมีการไปกราบไหว้ขอพรตามวัดต่างๆ เพื่อผ่อนเรื่องเลวร้ายที่อาจเข้ามาและเกิดขึ้นในชีวิตจากหนักให้เป็นเบา

ที่มาและความหมายของคำว่าปีชงกับเทพเจ้าไท้ส่วยเอี้ย

ปีชง ตามความหมายจีนคำว่า ชง หมายถึง ชน ส่วนนี้อ้างอิงจากหลักความเชื่อโหราศาสตร์จีน เรื่องปีนักษัตรประจำปี รวมถึงหลักการธาตุทั้ง 5 อย่าง ดิน น้ำ ไฟ ไม้ ทอง ตามหลักคิดของลัทธิเต๋า มารวมกับวันเดือนปีเกิดตามปฏิทินจีนโบราณของแต่ละคน และเทพประจำปีของปีนั้นๆ ว่าส่งเสริมหรือขัดแย้งดวงชะตาของแต่ละคนแค่ไหน

            เมื่อเกิดการชงหรือดวงชะตาชนกับเทพเจ้าขึ้นจะทำให้ดวงชะตาของคนผู้นั้นตกต่ำ ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม เต็มไปด้วยการติดขัด ดำเนินชีวิตอย่างยากลำบาก โรคภัยไข้เจ็บถามหา เคราะห์ร้ายและเภทภัยจะถาโถมมาถึงตัว เป็นเหตุให้ต้องมีการไหว้ปีชงเพื่อผ่อนหนักเป็นเบาส่งเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้น หรือที่เราอาจรู้จักกันในชื่อ สะเดาะเคราะห์ นั่นเอง

รายละเอียดของปีชงและการแก้ชงจัดว่ามีความซับซ้อนเพราะต้องประเมินจากหลายอย่าง มีรายละเอียดต้องคิดถึงมากมาย ทั้งจากวันเกิด เดือนเกิด ปีเกิด เวลาเกิด หากมีความขัดแย้งกับเทพประจำปีนั้นๆ ก็มีการกราบไหว้เพื่อส่งเสริมดวงชะตา ร้องขอความเมตตา เพื่อผ่อนเรื่องเลวร้ายจากหนักให้เป็นเบา นั่นคือหลักการคิดของสิ่งที่เรียกว่าปีชง

เทพเจ้าที่มีความเชื่อมโยงกับแนวคิดของปีชงคือ ไท้ส่วยเอี้ย พูดให้ถูกคือเป็นกลุ่มเทพเจ้าที่มีต้นตอมาจากลัทธิเต๋าของชาวจีน เป็นเทพประจำดวงดาวที่เชื่อว่าคอยคุ้มครองดวงชะตาของผู้คนให้แคล้วคลาด ปลอดภัย รอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง ถือเป็นเทพเจ้าเก่าแก่ที่ได้รับความศรัทธามายาวนานกว่า 3,000 ปี

เทพไท้ส่วยจะมีการโคจร หมุนเวียน ผลัดเปลี่ยนกันไปในแต่ละปีตามดวงดาว โดยจะมีเทพเจ้าในจำนวนนี้รวมกันทั้งสิ้นคือ 60 องค์ หรือ 5 รอบปีนักษัตร ตามจำนวนปีนักษัตรกับธาตุทั้งห้า จากความเชื่อเทพเจ้านี้ทำหน้าที่ดลบันดาลโชคและขจัดเภทภัยแก่มวลมนุษย์ ในทางหนึ่งจึงมีความผูกพันต่อคนเราค่อนข้างมาก จนมีการบูชาเทพเจ้าไท้ส่วยเอี้ยในทุกตรุษจีน

ความแตกต่างระหว่างปีชงในประเทศไทยและปีชงในจีน

เมื่อมีการหลอมรวมวัฒนธรรมระหว่างจีนและไทย ความหมายของคำว่าปีชงรวมถึงรูปแบบการแก้ไขจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เนื่องจากต้องปรับให้เข้ากับผู้คนรวมถึงสถานที่ใหม่ รวมถึงเมื่อมีการเข้ามาเกี่ยวข้องเชิงพาณิชย์ยิ่งทำให้รูปแบบแตกต่างไปจากเดิมมาก ยกตัวอย่างเช่น

1. พิธีกรรมของชาวจีนในวันเก่าที่ไม่ได้มีแค่เรื่องแย่ๆ

เดิมพิธีกรรมปีชงคือแนวคิดความเชื่อของชาวจีน โดยสามารถส่งผลได้ทั้งแง่บวกและลบ การแก้ชงคือนำสิ่งเลวร้ายออกไปเสริมสิริมงคลแก่ชีวิต แต่เมื่อความเชื่อเรื่องปีชงแผ่ขยายไปยังผู้ไม่ได้มีเชื้อสายจีน กลับเหลือเพียงความหมายด้านลบแค่ปีชง ตกหล่นด้านที่ส่งเสริมดวงชะตาไปพอสมควร

2. สถานที่ในการแก้ไขปีชงที่เปลี่ยนผ่านจากบ้านสู่ศาสนสถาน

ส่วนนี้มากจากทั้งการโยกย้ายถิ่นฐานและการปรับตัวเข้าสู่โลกปัจจุบัน เดิมการแก้ชงสามารถทำที่ใดก็ได้ไม่จำกัดสถานที่ แต่ปัจจุบันการแก้ชงถูกโยกย้ายมาสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของจีนมากขึ้น อีกทั้งบางส่วนยังมีการแผ่ขยายไปถึงสถานที่ทางศาสนาของไทยอีกด้วย

3. ปีชงที่เคยมีแค่ปีตรงข้ามกับนักษัตรทวีความซับซ้อนขึ้นกว่าเก่า

แรกเริ่มปีชงจะเกิดขึ้นแค่ปีนักษัตรเดียวในรอบปีเท่านั้น ถ้าชงกับปีนักษัตรใดก็จะได้รับผลกระทบอยปีเดียว ไม่มีการแบ่งสัดส่วนหรือผลกระทบไปหานักษัตรอื่น แต่ปัจจุบันมีการแบ่งแยกย่อยแตกส่วนลดหลั่นกันไปเป็นระบบ ตั้งแต่ 100% 75% 50% 25% นับว่าขยายการชงไปยังนักษัตรอื่นในแต่ละปีให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

4. นอกจากปีนักษัตรแล้วที่ต้องคำนึงถึงไม่แพ้กันคือหลักธาตุทั้งห้า

ความเชื่อเรื่องปีชงสมัยก่อนต้องพิจารณาถึงธาตุทั้งห้า ดิน น้ำ ไฟ ไม้ ทอง ควบคู่ไปด้วย บางครั้งแม้เราอยู่ในปีชงแต่ธาตุอาจไม่ชงก็ได้ เช่น ปีนี้เป็นปีมะเส็งธาตุน้ำ ผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดคือปีกุนธาตุไฟที่นับเป็นปีชงเพราะอยู่ในธาตุแพ้ทาง ส่วนปีกุนธาตุดินที่เป็นธาตุชนะทางจะถือว่าไม่ชง ตรงข้ามกับปัจจุบันที่คำนึงถึงแค่ปีนักษัตรโดยละเลยส่วนธาตุทั้งห้าไปจนหมด

5. ช่วงเวลาแก้ชงที่เคยสำคัญแต่หมดความหมายไปในปัจจุบัน

จังหวะเวลาการแก้ชงในสมัยก่อนต้องกระทำหลังตรุษจีนเพราะถือเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านปี หากไหว้ช่วงเวลาก่อนตรุษจีนถือว่ายังไม่ได้เปลี่ยนปีนักษัตรจึงไม่เกิดผล ซึ่งส่วนนี้จำเป็นต้องคำนึงถึงวันที่เป็นฤกษ์เหมาะสมในการแก้ชงด้วย แต่ในปัจจุบันสามารถแก้ชงได้โดยสะดวกในทุกช่วงเวลาไม่มีการจำกัดแบบแต่ก่อน ไม่ยึดติกับช่วงเวลามงคลตามตำราจีนอีกต่อไป

6. ผู้ดำเนินพิธีกรรมแก้ปีชงที่จำกัดลงกว่าแต่ก่อน

การแก้ชงสมัยก่อนสามารถทำได้ตามบ้านเรือนทั่วไป ขอแค่มีผู้รู้พิธีดำเนินการอย่างถูกต้อง วิธีแก้ชงจึงสามารถตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ตำรา หรือเนื้อความที่ระบุในปฏิทิน แต่ในปัจจุบันการแก้ชงจำกัดอยู่ตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องทำตามขั้นตอนจากสถานที่เหล่านั้นระบุไว้ ตามผู้เชี่ยวชาญในสถานที่นั้นๆ เป็นผู้กำหนด

7. การแก้ปีชงที่จัดทำเพื่อความสบายใจ กลายเป็นการขอพรพึ่งพาเทพเจ้า

ในอดีตหากไม่สะดวกใจในการแก้ชงสามารถเปลี่ยนเป็นการพก ฮู้ หรือ ยันต์ เครื่องรางจีนเพื่อเสริมดวง รวมถึงอาศัยการทำดี มีสติ ระลึกรู้ เพราะต้องการย้ำเตือนให้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง แต่ปัจจุบันกลายเป็นข้อบังคับสำหรับคนที่มีความเชื่อเรื่องปีชง ให้ต้องไปแก้ไขกราบไหว้สักการะเทพเจ้า ขอความช่วยเหลือพึ่งพาบารมีเพื่อช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาแทน

8. การตลาดและพาณิชย์ที่เปลี่ยนหลักคิดเกี่ยวกับปีชงให้ไม่เหมือนเดิม

เดิมของไหว้และวัตถุมงคลในการแก้ชงจัดทำขึ้นเพื่อให้ความสบายใจ เป็นไปในเชิงสัญลักษณ์ให้ยึดเหนี่ยวแต่ไม่ใช่กับปัจจุบัน เมื่อชุดไหว้รวมถึงวัตถุมงคลมีหลากหลายมากขึ้น รวมถึงสถานที่แก้ชงที่เริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อการท่องเที่ยว สร้างสถานที่ทั้งหลายให้กลายเป็นแหล่งแก้ชงนำมาเชิดชูเป็นจุดขายเพื่อเหตุผลทางการตลาด จึงนับว่าการแก้ชงมีความเปลี่ยนแปลงจากสังคมไปมากพอสมควร

แน่นอนว่าการแก้ชงเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่จุดหมายแรกเริ่มของปีชงอาจเป็นกุศโลบาย มีขึ้นเพื่อย้ำเตือนผู้คนให้มีสติ ระลึกรู้ พึงระวังในการใช้ชีวิตเป็นหลัก อาจมาจากประสบการณ์ของชาวจีนโบราณที่ว่า แต่ละช่วงวัยหรืออายุตามปีนักษัตรคือช่วงใดของชีวิต สามารถคำนวณได้ว่าช่วงปีใดคือช่วงเวลาเป็นอันตรายจึงอยากให้ลูกหลานระมัดระวังตัวมากขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สังฆทาน คือ อะไรและมีความหมาย รวมถึงมีกี่ประเภท

  สังฆทาน คือ อะไร ถ้าแปลตามคำศัพท์เป็นศัพท์ในพระสูตร เป็นชื่อเรียกการถวายทานแก่พระสงฆ์อย่างหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามีอานิสงส์มาก ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทักขิณาวิภังคสูตร ว่าการถวายสังฆทานแก่คณะพระสงฆ์ มีอานิสงส์มากกว่าการถวายทานเฉพาะเจาะจงแก่พระพุทธเจ้า แม้ยังทรงพระชนม์อยู่ ถ้าแยกความหมายเเล้ว  สังฆะ แปลว่า กลุ่ม หรือหมู่  ส่วน ทาน แปลว่าการให้ รวมความหมายได้ว่า ทานที่ถวายให้แก่กลุ่มพระสงฆ์โดยไม่เจาะจงพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ทำบุญสามารถถวายอะไรก็ได้ที่เห็นว่าเหมาะสมกับการใช้ชีวิตของพระสงฆ์ สังฆทานมีกี่ประเภท การถวายโดยอุทิศให้แก่สงฆ์ โดยอุทิศให้เป็นเผดียงสงฆ์ (ไม่ระบุเฉพาะว่าจะถวายรูปไหน) เช่นการถวายสลากภัต แม้พระจะได้รับของที่ถวายแค่รูปเดียว แต่ถือได้ว่าพระสงฆ์ที่มารับถวายเป็นพระที่ได้รับมอบหมายจากสงฆ์ ก็นับเป็นสังฆทานเช่นกัน ให้ทานในสงฆ์ 2 ฝ่าย (ทั้งฝ่ายภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์) มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้ทานในสงฆ์ 2 ฝ่าย ในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ให้ทานในภิกษุสงฆ์ ในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์ ในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เผดียง...

ไหว้พระพรหม ที่ไหนดี และ ไหว้ยังไงให้ปัง ? ฉบับ ธาราญา !!

  พระพรหม หนึ่งในสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นที่นิยมนับถือทั้งคนไทยและต่างชาติ ไหว้พระพรหมยังไงให้ปัง ใช้ธูปกี่ดอก ขอพรให้สมหวัง ผู้ที่สนใจบูชาต้องอ่าน รับรู้ถึงวิธีร่วมสักการะท้าวมหาพรหม ราชประสงค์ จากความเชื่อว่า  พระพรหมเป็นผู้สร้าง  ผู้ลิขิตความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งในโลก หากใครที่อธิษฐานและบูชาพระพรหมด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ เชื่อว่าจะได้รับพร ให้สมหวังในสิ่งที่มุ่งหวังไว้ และเนื่องจากพระพรหมมี 4 พักตร์ จึงต้องบูชาพระพรหมให้ครบทั้ง 4 พักตร์ 4 ทิศ การไหว้ให้ครบทุกพักตร์จะเป็นการได้รับพรครบทุกประการ  การสวดบูชาพระพรหม จำเป็นต้องสวดบูชาพระพิฆเนศก่อนทุกครั้ง ซึ่งเป็นกฎการไหว้เทพของศาสนาพราหมณ์ทุกนิกาย ความเชื่อในการไหว้พระพรหมนั้นเป็นความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าที่ได้รับการสืบทอดมาอย่างยาวนานในสังคมไทย จะเห็นได้ว่าในหลายๆ สถานที่ทั่วประเทศไทยนั้นมีการตั้งรูปพรพรหมไว้สักการะกันอย่างมากมาย ในบทความนี้จะมาแนะนำถึงขั้นตอน และวิธีการต่างๆ ในการไหว้พระพรหมอย่างถูกต้อง ที่มาของความเชื่อในเรื่องนี้ รวมไปถึงสถานที่สักการะพระพรหมยอดฮิตในประเทศไทย ขั้นตอนการไหว้พระพรหมอย่างถ...

กิจกรรมใน “วันเข้าพรรษา” มีอะไรบ้าง ?

  วันเข้าพรรษา  เป็นวันที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า “จำพรรษา” นั่นเอง โดย วันเข้าพรรษา 2565ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม หรือ แรม 1 ค่ำ เดือน 8 ประวัติวันเข้าพรรษา            “ เข้าพรรษา”  แปลว่า “พักฝน” หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่น ๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน โดยแบ่งเป็น            –  ปุริมพรรษา หรือ วันเข้าพรรษาแรก  เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี หรือถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง และออกพรรษาในวันขึ้น...