ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

รู้หรือไม่ ? ว่า “สมาธิ” นั้นมีกี่ระดับ !!

 



เมื่อกล่าวถึง สมาธิ ต้องเข้าใจในเบื้องต้นว่า สมาธิมิใช่เรื่องของฤๅษีชีไพร หรือมิใช่เป็นเรื่องที่ประพฤติปฏิบัติได้เฉพาะผู้ที่เป็นนักบวชเท่านั้น แต่สมาธิเป็นเรื่องของการฝึกฝนอบรมจิตใจ และเป็นการพัฒนาจิตใจให้มีความมั่นคง ตั้งมั่น และทำให้มีคุณภาพทางจิตใจที่ดีขึ้น ซึ่งในทางพระพุทธศาสนานั้น สมาธิสามารถประพฤติปฏิบัติได้ ทั้งเพื่อประโยชน์ต่อความมีชีวิตที่อยู่เป็นสุขในเพศภาวะของผู้ที่ยังครองเรือน และยังเป็นการปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นสำหรับผู้ที่เป็นนักบวชอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม สมาธิ ถือเป็นเรื่องสากล กล่าวคือ มิใช่เฉพาะพุทธศาสนิกชนเท่านั้นที่จะสามารถปฏิบัติสมาธิได้ แม้ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นก็สามารถปฏิบัติสมาธิได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ การฝึกสมาธิจะเน้นให้ความสำคัญของการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เพราะนอกจากจะทำให้ผู้ปฏิบัติเห็นผลด้วยตนเองแล้ว หากมีข้อสงสัยในเชิงปฏิบัติ ก็สามารถที่จะสอบถามจากผู้รู้ผู้ชำนาญได้อย่างตรงเป้าหมาย หรือตรงต่อประสบการณ์ที่ตนเองได้ปฏิบัติมา และถึงแม้จะมีการอธิบายรายละเอียดความรู้ของสมาธิในเชิงทฤษฎี แต่กระนั้นก็มิอาจที่จะละเลยสมาธิในเชิงปฏิบัติได้

ความหมายของสมาธิ

การอธิบายความหมายของสมาธิ สามารถอธิบายได้ทั้งในเชิงลักษณะผลของสมาธิที่เกิดขึ้น และอธิบายในลักษณะในเชิงการปฏิบัติ เช่น สมาธิ คือ ความสงบ สบาย และความรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่งที่มนุษย์สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่พระพุทธศาสนากำหนดเอาไว้เป็นข้อควรปฏิบัติ เพื่อการดำรงชีวิตประจำวันอย่างเป็นสุข ไม่ประมาท เต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ และปัญญา อันเป็นเรื่องไม่เหลือวิสัย ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ง่ายๆ

ความหมายในเชิงลักษณะผลของสมาธิ

สมาธิ คือ อาการที่ใจตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว อย่างต่อเนื่อง หรือ อาการที่ใจหยุดนิ่งแน่วแน่ ไม่ซัดส่ายไปมา เป็นอาการที่ใจสงบรวมเป็นหนึ่งแน่วแน่ มีแต่ความบริสุทธิ์ผ่องใส สว่างไสวผุดขึ้นในใจ จนกระทั่งสามารถเห็นความบริสุทธิ์นั้นด้วยใจตนเอง อันจะก่อให้เกิดทั้งกำลังใจ กำลังขวัญ กำลังปัญญา และความสุขแก่ผู้ปฏิบัติในเวลาเดียวกัน

ความหมายในเชิงลักษณะการปฏิบัติสมาธิ

กล่าวอีกนัยหนึ่งในเชิงลักษณะการปฏิบัติ สมาธิ แปลว่า ความตั้งมั่นของจิต หรือภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนด หรือการที่จิตกำหนดแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน

ประโยชน์ของการทำสมาธิ

ในแต่ละวันเราสามารถมีความคิดมากมายได้ถึง 50,000 ความคิด นั่นเป็นเรื่องน่ากลัวมาก ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่เราพบว่ามันอาจจะยากที่จะกำจัดความยุ่งเหยิงในจิตใจของเรา ซึ่งการทำสมาธิจึงเป็นทางออกที่ดี โดยพระสงฆ์มีการปฏิบัติมาเป็นเวลานับพันปีเพื่อให้มีสติ จิตใจปลอดโปร่ง  มีทัศนคติในด้านบวก และจิตใจสงบ  การฝึกสมาธิแบบสมัยก่อนได้มีการดัดแปลงให้เข้ากับยุคสมัยซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน นี่คือวิธีที่สามารถทำให้คุณฉลาดมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น และมีสุขภาพที่ดีขึ้น

ฉลาดมากขึ้น

ในปัจจุบันมันง่ายมากที่จิตใจเราจะวอกแวกไปกับสังคมโลกที่ถูกเชื่อมต่อเข้าหากัน และมันเป็นเรื่องท้าทายที่จะกำจัดเสียงรบกวนจากสิ่งรอบข้าง ซึ่งการทำสมาธิคือทางออก ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการทำสมาธิช่วยการพัฒนาในด้านของความสนใจ โดยสอนให้เราจดจ่อ แน่วแน่ และตามความคิดของเราได้ทัน อีกทั้งยังเพิ่มเซลล์ประสาทในสมองของเรา โดยเฉพาะในส่วนของการควบคุมและการตอบสนองทางอารมณ์ ผลของการทำสมาธินั่นช่วยให้ฉลาดมากขึ้น ความจำและการเรียนรู้ดีขึ้น 

ลดความเครียด

ความเครียดสามารถเป็นสาเหตุในการทำลายสุขภาพที่ร้ายแรงต่อทั้งร่างกายและจิตใจของเรา เกิดโรควิตกกังวล ความดันโลหิตสูง และโรคอื่นๆที่เกี่ยวข้อง โชคดีที่การทำสมาธิสามารถทำให้ผ่อนคลายโดยลดการกระตุ้นให้เกิดโรคได้ ตัวอย่างเช่น แสดงให้เห็นถึงการลดเกร็งของกล้ามเนื้อ ความดันโลหิตลดลง และอัตราการเต้นของหัวใจ การหายใจ รวมไปถึงคลื่นสองก็มีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น

ใจมีความสุขมากขึ้น

เครื่องตรวจวินิจฉัยโรคด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) แสดงถึงผลการตรวจสมองของการตอบสนองแบบสู้หรือหนีต่อความเครียดที่ลดลง หลังจากการทำสมาธิเป็นเวลา 2 เดือน ในขณะเดียวกัน ผลยังแสดงถึงเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้าที่มีหน้าที่ควบคุมต่อการแสดงออกด้านพฤติกรรมทางสังคมและความสามารถในการตัดสินใจที่เพิ่มขึ้น จึงขอเสนอว่าการทำสมาธิสามารถช่วยให้จิตใจของเราหลุดพ้นจากความเครียดได้

การนอนหลับดีขึ้น

ประมาณ 30% ของผู้ใหญ่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ และมักจะมีสาเหตุมาจากความเครียดและความวุ่นวายใจ การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบ โดยให้จิตเราอยู่กับปัจจุบัน  ความคิดไม่ฟุ้งซ่านและจิตใจปลอดโปร่ง อีกทั้งยังควบคุมพฤติกรรมและการแสดงของเรา ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถช่วยให้เรานอนหลับได้สนิทยิ่งขึ้น

ยืดอายุสมอง

ผลของการศึกษาแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการทำสมาธิและอายุการทำงานของสมอง  โดยขอแนะนำว่าการยกระดับการทำสมาธิและการยืดหยุ่นของสมองจากการทำสมาธิ  สามารถช่วยปกป้องสติปัญญาจากการเสื่อมถอยได้ รูปแบบการดำเนินชีวิตอื่นๆ ทั้ง อาหารการกิน การออกกำลังกาย และการศึกษาล้วนมีความสำคัญต่อชีวิตเราทั้งนั้น แต่ก็เหมือนกับกล้ามเนื้อทั่วๆไปในร่างกาย สมองก็ต้องการการออกกำลังกายเป็นประจำเช่นกัน

สมาธิแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ

            แม้ว่าสมาธิจิตมีอยู่ 3 ระดับแต่ตามหลักการปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน จิตที่เป็นสมาธิในบางระดับเท่านั้นที่นำมาใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนา สมาธิ 3 ระดับ ประกอบไปด้วย

  1. ขณิกสมาธิ หมายถึง สมาธิที่เกิดขึ้นชั่วระยะ ซึ่งเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานในสัตว์ทุกประเภทที่นำมาใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน
  2. อุปจารสมาธิ หมายถึง สภาพของจิตที่เข้าสู่สมาธิแบบเฉียดๆ หรือจวนจะแน่วแน่ใกล้เข้าสู่ปฐมฌาน เป็นภาวะจิตที่ประณีตขึ้นมาจากขณิกสมาธิ แม้ว่าภาวจิตถูกควบคุมจะอยู่ในอารมณ์หนึ่ง (เอกัคตา) แต่ยังไม่ลึกและแน่วแน่ มีความฟุ้งซ่านซัดส่ายไปมาและยังมีการรับรู้อยู่บางระดับหนึ่ง มีความประณีตกว่าขณิกสมาธิและสมาธิระดับต้นๆ ที่นำมาใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนาที่เรียกว่า วิปัสสนาสมาธิปฏิบัติ
  3. อัปปนาสมาธิ หมายถึง สมาธิที่แนบสนิทอยู่ในฌาน หรือสามบัติ 8 ฌานเหล่านี้จัดเป็นระดับของสภาวจิตที่อยู่เหนือการรับรู้จากประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในขณะนั้น จิตจะอยู่เหนือการรับรู้ทางจักขุวิญญาณโสตวิญญาณ และความรู้สึกจากทางผัสสะ เป็นสมาธิจิตที่อยู่เหนือการควบคุมของเจตสิกที่เป็นเวทนา คือ อารมณ์ความรู้สึกพึงสังเกตุว่า ในการปฏิบัติวิปัสสนาแบบแรกนั้น จิตจะอยู่ในสมาธิระดับต้นๆ ระหว่างขณิกสมาธิกับอุปจารสมาธิยังไม่เข้าถึงอัปปนาสมาธิ ส่วนอัปปนาสมาธินั้น เป็นสมาธิในการบำเพ็ญฌานสมาบัติตามแบบโยคะ ที่พระพุทธศาสนาสามารถนำมาเป็นฐานต่อไปยังการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาเป็นขั้นที่ 9 ที่เรียกว่า นิโรธสมาบัติ

นี่คือความแตกต่างระหว่างเป้าหมายการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวพุทธกับบำเพ็ญสมาธิตามแบบโยคะ โดยฝ่ายแรกเน้นการทำสมาธิเพื่อพัฒนาปัญญาบนฐานแห่งความเป็นจริงในสัจธรรม ตั้งจิตมั่นในสมาธิ 3 กล่าวคือ พิจารณาไตรลักษณ์เพื่อความหลุดพ้นด้วยการกำหนดอนัตตลักษณะ อนิจจลักษณะ และทุกขลักษณะ ขณะที่ฝ่ายหลังเป็นการปฏิบัติเพื่อมุ่งไปไกลสู่ฌานวิเศษ เพื่อบรรลุโมกษะตามความเชื่อของปรัชญาอุปนิษัท

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สังฆทาน คือ อะไรและมีความหมาย รวมถึงมีกี่ประเภท

  สังฆทาน คือ อะไร ถ้าแปลตามคำศัพท์เป็นศัพท์ในพระสูตร เป็นชื่อเรียกการถวายทานแก่พระสงฆ์อย่างหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามีอานิสงส์มาก ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทักขิณาวิภังคสูตร ว่าการถวายสังฆทานแก่คณะพระสงฆ์ มีอานิสงส์มากกว่าการถวายทานเฉพาะเจาะจงแก่พระพุทธเจ้า แม้ยังทรงพระชนม์อยู่ ถ้าแยกความหมายเเล้ว  สังฆะ แปลว่า กลุ่ม หรือหมู่  ส่วน ทาน แปลว่าการให้ รวมความหมายได้ว่า ทานที่ถวายให้แก่กลุ่มพระสงฆ์โดยไม่เจาะจงพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ทำบุญสามารถถวายอะไรก็ได้ที่เห็นว่าเหมาะสมกับการใช้ชีวิตของพระสงฆ์ สังฆทานมีกี่ประเภท การถวายโดยอุทิศให้แก่สงฆ์ โดยอุทิศให้เป็นเผดียงสงฆ์ (ไม่ระบุเฉพาะว่าจะถวายรูปไหน) เช่นการถวายสลากภัต แม้พระจะได้รับของที่ถวายแค่รูปเดียว แต่ถือได้ว่าพระสงฆ์ที่มารับถวายเป็นพระที่ได้รับมอบหมายจากสงฆ์ ก็นับเป็นสังฆทานเช่นกัน ให้ทานในสงฆ์ 2 ฝ่าย (ทั้งฝ่ายภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์) มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้ทานในสงฆ์ 2 ฝ่าย ในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ให้ทานในภิกษุสงฆ์ ในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์ ในเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เผดียง...

ไหว้พระพรหม ที่ไหนดี และ ไหว้ยังไงให้ปัง ? ฉบับ ธาราญา !!

  พระพรหม หนึ่งในสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นที่นิยมนับถือทั้งคนไทยและต่างชาติ ไหว้พระพรหมยังไงให้ปัง ใช้ธูปกี่ดอก ขอพรให้สมหวัง ผู้ที่สนใจบูชาต้องอ่าน รับรู้ถึงวิธีร่วมสักการะท้าวมหาพรหม ราชประสงค์ จากความเชื่อว่า  พระพรหมเป็นผู้สร้าง  ผู้ลิขิตความเป็นไปของทุกสรรพสิ่งในโลก หากใครที่อธิษฐานและบูชาพระพรหมด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ เชื่อว่าจะได้รับพร ให้สมหวังในสิ่งที่มุ่งหวังไว้ และเนื่องจากพระพรหมมี 4 พักตร์ จึงต้องบูชาพระพรหมให้ครบทั้ง 4 พักตร์ 4 ทิศ การไหว้ให้ครบทุกพักตร์จะเป็นการได้รับพรครบทุกประการ  การสวดบูชาพระพรหม จำเป็นต้องสวดบูชาพระพิฆเนศก่อนทุกครั้ง ซึ่งเป็นกฎการไหว้เทพของศาสนาพราหมณ์ทุกนิกาย ความเชื่อในการไหว้พระพรหมนั้นเป็นความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าที่ได้รับการสืบทอดมาอย่างยาวนานในสังคมไทย จะเห็นได้ว่าในหลายๆ สถานที่ทั่วประเทศไทยนั้นมีการตั้งรูปพรพรหมไว้สักการะกันอย่างมากมาย ในบทความนี้จะมาแนะนำถึงขั้นตอน และวิธีการต่างๆ ในการไหว้พระพรหมอย่างถูกต้อง ที่มาของความเชื่อในเรื่องนี้ รวมไปถึงสถานที่สักการะพระพรหมยอดฮิตในประเทศไทย ขั้นตอนการไหว้พระพรหมอย่างถ...

กิจกรรมใน “วันเข้าพรรษา” มีอะไรบ้าง ?

  วันเข้าพรรษา  เป็นวันที่พระสงฆ์เถรวาทจะอธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า “จำพรรษา” นั่นเอง โดย วันเข้าพรรษา 2565ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม หรือ แรม 1 ค่ำ เดือน 8 ประวัติวันเข้าพรรษา            “ เข้าพรรษา”  แปลว่า “พักฝน” หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่น ๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน โดยแบ่งเป็น            –  ปุริมพรรษา หรือ วันเข้าพรรษาแรก  เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี หรือถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง และออกพรรษาในวันขึ้น...